post:

Home » , » แปล Alejandro Jodorowsky & Kyo DIR EN GREY/Sukekiyo

แปล Alejandro Jodorowsky & Kyo DIR EN GREY/Sukekiyo


Alejandro Jodorowsky บุคคลที่อายุเกือบจะ 85 ปี ได้มาเยือนประเทศญี่ปุ่นเพื่อที่จะโปรโมตสารคดีของเขาที่ชื่อว่า  “Jodorowsky’s Dune” ซึ่งการเปิดตัวครั้งแรกของเขาเมื่อตอนอายุ 23 ปี มีชื่อว่า “The dance of reality” พวกเราจะขอนำเสนอบทสัมภาษณ์ครั้งนี้ในรูปแบบการสนทนาระหว่าง Jodorowsky และ Kyo (DIR EN GREY/sukekiyo) ผู้ที่ประกาศตัวว่าเป็นแฟนคลับตัวยงของผู้กำกับท่านนี้ การพูดคุยระหว่างศิลปินรุ่นใหญ่ผู้โดดเดี่ยวและนักดนตรีผู้ที่มีทรรศนะคติความคิดไม่เหมือนใคร ได้กลายมาเป็นบทสนทนาอันล้ำค่าน่าติดตาม

Kyo : เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ตอนที่ผมทำความสะอาดห้องของตัวเอง ผมเจอม้วนวีดีโอสีดำในบ้านของผมที่ไม่มีป้ายอะไรติดอยู่เลย ผมคิดว่า "นี่มันอะไร?" ผมเล่นม้วนวีดีโอนั้น และนั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นหนังของคุณครั้งแรก "Holy Mountain" ผมถูกดึงเข้าไปตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมได้เปิดมัน ผมคิดว่า "นั่นมันอะไรกัน...?" และผมก็ช็อกมาก ก่อนที่ผมจะได้สังเกตตอนหนังจะจบ ในหัวของผมมันก็ยุ่งเหยิงไปหมดครับ (หัวเราะ) ตั้งแต่นั้นผมก็กลายเป็นแฟนคลับตัวยงขอบคุณ ผมเพียงได้เรียนรู้หลังจากชิ้นงานเหล่านั้นว่ามีก่อนที่ผมจะเกิดซะอีกครับ นั่นก็เป็นความตกใจอีกครั้งของผมด้วย

Alejandro Jodorowsky : แม้ว่าผมจะเกี่ยวข้องในฐานะผู้ผลิตหนังเรื่อง Holy Mountain ประมาณ 30 ปีที่แล้ว ก็มีปัญหาต่างๆที่ทำให้หนังเรื่องนี้ไม่ได้รับการฉาย ผู้ผลิตคนอื่นๆที่นอกเหนือจากผมไม่ต้องการจะแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ใครได้ชม และไม่ต้องการที่จะดูมัน ตอนนั้นผมมีวีดีโอของผม ดังนั้นผมเลยอัดลงวีดีโอแล้วก็เผยแพร่มันเหมือนกับของผิดกฏหมาย นั่นทำไมคุณถึงสามารถได้ดูมัน ดีใช่มั้ยล่ะที่ผมทำแบบนั้นไป (หัวเราะ)

Kyo : (หัวเราะ)  แทนที่จะได้กลายเป็นภาพยนตร์ มันเลยกลายเป็นเหมือนการรวมกลุ่มที่อยากจะแสดงออก ผมรู้สึกได้ถึงพลังมากมายเลยจากตรงนั้น นอกเหนือจากภาพยนตร์ทั้งหมดแล้ว ผมเองก็มองเห็นจนกระทั่งตอนนี้กับภาพสะท้อนที่ยุ่งเหยิงและแนวการคิดของคุณ

Alejandro Jodorowsky : ผมรู้สึกยินดีนะที่มันก็มีประโยชน์บ้าง

Kyo : มันมีประโยชน์มากเลยครับ (หัวเราะ) หลังจากนั้นมาผมก็ดูผลงานของคุณทั้งหมดเลย รวมทั้ง “El Topo” (1970) ด้วยครับ

Alejandro Jodorowsky : ชีวิตของผมเกี่ยวกับภาพยนตร์มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากพอสมควร เพราะภาพยนตร์จะต้องมีการขาย แต่ผมก็ดื้อรั้นต่อต้านในสิ่งนั้น และผมก็ยังคงต่อต้านอยู่ นั่นทำไมผมถึงได้ไม่ทำในสิ่งที่วงการภาพยนตร์เค้าทำกัน และนั่นทำไมผมถึงได้จำหน่ายภาพยนตร์ของผมในรูปแบบวีดีโอเทป ผมเกลียดอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในโลกนี้

Kyo : เหมือนกับอุตสาหกรรมด้านดนตรี "ช่วยทำเพลงที่ขายได้ด้วยเถอะ" ทุกคนพูดกับผมแบบนั้น แต่สิ่งที่ผมต้องการมันค่อนข้างแตกต่างเป็นอย่างมาก มีหลายสิ่งที่ขัดแย้งกับผม ผมต้องการที่จะแสดงตัวตนของผม แต่ก็มีหลายครั้งที่ผมต้องยับยั้งไว้

Alejandro Jodorowsky : แต่ว่าสถานการณ์ในตอนนี้มันก็ดีกว่าเมื่อครั้งในอดีตมาก เพราะว่าคุณสามารถเผยแพร่ดนตรีของคุณผ่านอินเตอร์เน็ตได้ ที่ผมพูดก่อนหน้านั้นเพราะอินเตอร์เน็ตตอนนั้นยังไม่มีความสามารถมากพอ แต่ว่าตอนนี้ผมใช้ twitter ผมสามารถแสดงออกได้ว่าผมเป็นคนแบบไหน เกี่ยวกับความตาย หลักปรัชญา หรือศิลปะ ไม่ใช่เพียงแค่เกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของผม แต่ผมสามารถทวิตข้อความเกี่ยวกับปรัชญาของผม และสิ่งที่ผมคิด ตอนนี้ผมมีผู้ติดตามอยู่ 950,000 คน เช่นเดียวกันเหล่าผู้คนก็เริ่มที่จะสังเกตเห็นว่ามันได้กลายมาเป็นรูปแบบศิลปะไปแล้ว แต่ว่าความพยายามมันก็เป็นปัญหา ใช่ล่ะ...จะต้องมีความอดทน การต่อสู้ที่ใช้เวลานานกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง แต่ถึงแม้พวกเราจะมีความอดทน แต่ผมก็อยากจะพูดอะไรสักอย่าง ถ้าคุณมีความจริง วงการอุตสาหกรรมจะพยายามต่อต้านคุณ ถ้าคุณถามว่าทำไม ก็เพราะพวกเขาต้องการจะปิดบังความจริง แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะฆ่าความจริง มันจะปรากฎออกมาเสมอ ดังนั้นคุณมีความจำเป็นที่จะต้องพยายามเป็นอย่างมาก

Kyo : ผมก็คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เหมือนกันครับเมื่อผมได้ดู “Jodorowsky’s Dune” คุณพยายามต่อสู้ด้วยตัวคุณเองเสมอโดยไม่ยอมแพ้ โดยที่ไม่สูญเสียรูปแบบในการแสดงออกของคุณ สิ่งนั้นไม่ได้เลือนหายไปเลย ผมคิดว่าสิ่งนั้นก็กลายมาเป็นพลังในการสร้างสรรค์ด้วยเหมือนกันครับ

Alejandro Jodorowsky : พวกเราต่างก็มีอายุภายนอกของเรา แต่ผมไม่คิดว่าพวกเรามีอายุข้างใน เช่นเดียวกันคือคุณเป็นนักดนตรีนั่นทำให้ผมมีความสุขมากจริงๆ ที่พูดอย่างนั้นเพราะตัวผมเองเคยได้ดนตรีช่วยชีวิตเอาไว้ ส่วนใหญ่แล้วมาจาก John Lennon เขาช่วยให้เงินทุนผมสำหรับหนังเรื่อง Holy Mountain เขามอบให้ผู้ผลิตและตัวผมหนึ่งแสนดอลล่าห์ เขาบอกกับผมว่า ทำในสิ่งที่ต้องการจะทำเถอะ นั่นทำไมผมถึงได้สามารถทำในสิ่งที่ผมต้องการจะทำได้ หลังจากนั้นผมก็ได้รู้จัก Peter Gabriel เขาก็เป็นคนหนึ่งที่เป็นแฟนคลับของผม เขาแนะนำเกี่ยวกับหนังของผมให้กับแฟนคลับของเขาเอง และหลังจากนั้นผมก็ได้รู้จักกับ Marilyn Manson เขาก็พูดเหมือนกันว่าได้รับผลกระทบจากหนังเรื่อง Holy Mountain มากเช่นเดียวกัน นั่นเพราะอะไรหลังจากที่เขาประกาศออกไปว่าได้รับอิทธิพลจากหนังของผม จำนวนแฟนๆโกธิคอายุ 14 ปี ของผมถึงได้เพิ่มมากขึ้น (หัวเราะ)
เช่นเดียวกับ Kanye West ที่บอกเหมือนกันว่าเป็นแฟนคลับของผม ด้วยวิธีการเหล่านี้ ที่แฟนคลับจากธุรกิจดนตรีได้ช่วยชีวิตของผมเอาไว้ ลูกชายของผมที่ชื่อว่า Adanowsky และยังเป็นนักดนตรีร็อกด้วย เขารับผิดชอบดนตรีในภาพยนตร์เรื่อง The dance of reality ผมไม่รู้นะว่าทำไม แต่บางครั้งการทำงานของผมกับดนตรี Rock ก็มีความเกี่ยวข้องกันอย่างรุนแรง ผมคิดว่าดนตรี Rock เป็นดนตรีที่ให้พลังได้อย่างมากมาย และเป็นของแท้ เมื่อผมได้ไปคอนเสิร์ต ผมมีความรู้สึกว่าผมได้รับความคิดริเริ่มมากมาย ดนตรี Rock ที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์ ที่แสดงตัวตนออกมาอย่างถูกต้องนั่นล่ะ ที่ผมชอบมาก

Kyo : โดยส่วนตัวผมแล้ว ผมรู้สึกว่าถ้าผมไม่ต่อสู้เลย ผมจะรู้สึกว่าตัวเองล้มเหลว

Alejandro Jodorowsky : การต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการต่อสู้กับตัวเองใช่มั้ย?

Kyo : ใช่แล้วครับ

Alejandro Jodorowsky : ถ้าคุณสามารถต่อสู้กับตัวคุณเองได้ หลังจากนั้นทั้งหมดแล้วมันจะกลายเป็นเรื่องสบายๆ และสิ่งอื่นๆมันก็จะไม่มีความล้มเหลว บางครั้งเส้นทางอาจมีการเปลี่ยนแปลง สิ่งเดียวเท่านั้นล่ะที่ผมจะบอกความจริงว่า ผมไม่สามารถจะทำเหมือนในภาพยนตร์ได้ ผมจะทำสิ่งเหล่านั้นเหมือนกับการ์ตูน ถ้าเส้นทางเดียวมันไม่ดี ผมก็จะมองหาเส้นทางอื่นๆ นั่นเป็นเหตุผลที่ผมไม่ยอมรับกับความล้มเหลว

Kyo : หลังจากหนังเรื่อง “Santa Sangre” (1989) คุณก็ไม่ได้ปล่อยหนังอะไรออกมาอีกเลย ช่วงเวลานั้นคุณทำอะไรอยู่เหรอครับ?

Alejandro Jodorowsky : ผมเขียนการ์ตูน และก็เขียนบทละคร ผมเขียนบทละครออกมามากกว่า 100 บท แต่ละผลงานอยู่ในประเทศแม็กซิโก และผมเองก็เขียนหนังสือเกี่ยวกับ psychomagic หนังสือนิยาย หรือแม้แต่บทกวี ผมปล่อยอัลบั้มงานศิลปะของผม ผมสามารถทำได้ทุกอย่าง

Kyo : คุณออกไปนอกกรอบของการเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ เหตุผลของคุณคืออะไรเหรอครับ?

Alejandro Jodorowsky : ผมต้องการจะทำหนังให้เหมือนกับงานศิลปะทุกแขนง รวมถึงรูปแบบทุกอย่างของงานศิลปะ บทละคร การวาดภาพ จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม ปรัชญา ทุกอย่างที่รวมเข้าไว้ด้วยกัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผมคิดว่าภาพยนตร์มันคงจะห่วยอย่างที่สุดถ้าไม่มีรูปแบบของศิลปะเลย มันลดระดับลงเหมือนกับคนโง่หรือเหมือนกับเหล่าโสเภณี แต่เพราะว่ามันมีรูปแบบของศิลปะ ภาพยนตร์มันจึงกลายเป็นศิลปะได้ นั่นเพราะอะไรผมถึงได้เลือกการทำภาพยนตร์ เช่นเดียวกับจังหวะดนตรี และเพลง  แต่จากการเริ่มต้นผมเป็นศิลปินที่ต้องทำทุกอย่าง ผมทำบทภาพยนตร์ แก้ไข และทำเพลงของ El Topo ก็เช่นเดียวกัน

Kyo : ถ้าคุณเป็นนักดนตรีคุณไม่สามารถจะทำอะไรนอกเหนือจากนี้ได้เลย มันมีกฏที่บอกคุณอยู่เป็นนัยๆ ว่าคุณจะต้องดำเนินวงต่อไปเพียงแค่วงเดียว สิ่งที่เป็นแบบนั้นมันเหมือนกับเป็นแบบอย่างที่ดี ผมคิดว่าแนวโน้มความคิดแบบนั้นมีในประเทศญี่ปุ่น ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับขอบเขต แต่ตอนนี้ผมทำวงดนตรี 2 วง แต่ผมก็ได้ทำลายกรอบที่กลายเป็นเหมือนสิ่งที่สำคัญ ผมคิดอย่างนั้นเมื่อผมได้ดูสารคดีของคุณ Jodorowsky’s Dune เมื่อผมได้ยินคำพูดของคุณตอนนี้ ผมคิดว่านั่นก็เป็นเหมือนการแสดงตัวตนของผมด้วยเช่นกันครับ

Alejandro Jodorowsky : ลองพยายามคิดดูนะ คุณต้องการทำดนตรีในวงที่แตกต่าง ยกตัวอย่างเช่น คุณต้องการเพียงแค่ทำดนตรีให้สำหรับคนที่ป่วย วงดนตรีที่ทำเพลงเพื่อการบำบัด คุณทำดนตรีออกมาเพื่อให้คนป่วยได้มีความสุข คุณแค่เล่นคอนเสิร์ตในโรงพยาบาล ถ้าคุณพยายามทำในสิ่งนั้น มันไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงเลยในขอบเขตที่คุณพูดถึง แล้วก็มีอีกอย่างคือการทำเพลงเพื่อสันติภาพให้กับกองทัพ และคุณก็เพียงแค่ทำการแสดงอยู่หน้าพวกทหารเท่านั้น (หัวเราะ) และในท้ายที่สุดก็สร้างวงออเคสตร้าให้กับผู้คนที่ได้รับความทรมานในเรื่องเพศ แต่เพียงแค่สมาชิกในวงออเคสตร้าเท่านั้นที่มีประสิทธิภาพ ขอบคุณกับพวกเขาสำหรับการแสดงที่กลายเป็นว่ามีพลังเพิ่มมากขึ้นเป็นอย่างมาก อะไรคือสิ่งที่ผมคิดเกี่ยวกับพลังของศิลปะในการเยียวยาผู้คน ที่ผมคิดคือ The dance of reality คือภาพยนต์ที่สามารถเยียวยาผู้คนได้ นั่นคือเหตุผลที่ผมได้ใส่หลักจิตวิทยาในการบำบัดแทรกเข้าไปในภาพยนตร์ของผม ผมคิดว่าผมสามารถสัมผัสได้ถึงผู้ชม ในฐานะศิลปินแล้วคุณจะต้องสร้างผู้ชมด้วยตัวของคุณเอง ใช่มั้ย?

Kyo : ครับ

Alejandro Jodorowsky : ถ้าคุณสามารถทำอย่างนั้นได้ คุณจะเป็นศิลปินที่ยิ่งใหญ่เลยทีเดียว อ่า และหนึ่งสิ่งที่มากกว่านี้คือ ดนตรีสำหรับเด็ก ทำเพลงเพื่อเด็กที่อายุต่ำกว่า 3 ปี

Kyo : ผมคิดว่าผมกลายเป็นผู้มีอิทธิพลในเชิงลบมากกว่าครับ (หัวเราะ)

Alejandro Jodorowsky : แต่ผมคิดว่าการเปรียบเทียบผู้ใหญ่กับเด็กแทบจะไม่มีเขตแดนเลยนะ พวกเขาสามารถรับได้ทุกอย่าง คุณสามารถทำ Rock คอนเสิร์ตเพื่อเด็กและก็ทำการแยกสลายตุ๊กตาต่อหน้าทุกๆคน (หัวเราะ) ผมคิดว่าเด็กๆคงยินดีกัน กับผู้ปกครองก็คงจะเข้าใจด้วย

Kyo : ผู้ปกครองคงกลัวเกี่ยวกับหนังเรื่อง The dance of reality ผมไม่คิดว่ามันเป็นสมัยนิยมในสมัยนี้ แต่ผมชอบนะครับที่คุณแบ่งแยกขอบเขตการแสดงออกของคุณในภาพยนตร์ แนวทางในการแสดงตัวตนทั้งแบบใหม่และแบบเก่า คุณบอกว่าสิ่งเหล่านั้นมันไม่เป็นไรใช่มั้ยครับ? เช่นเดียวกับสีสันที่มีความสวยงามเป็นอย่างมาก

Alejandro Jodorowsky : ผมใช้เทคนิคใหม่สำหรับสีสันในเวลานี้ ถ้าเปรียบเทียบกับเมื่อสมัยก่อนแล้วมันมีความเป็นไปได้ที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว ความแตกต่างในอดีตไม่ได้มีเพียงแค่การถ่ายทำ พวกเราทำหลังจากการผลิต ตัดต่อสี เสียงได้อย่างเหมาะสม ภรรยาของผมเป็นจิตรกร ดังนั้นผมจะสร้างสีในระหว่างการตัดต่อในขณะนั้นก็จะปรึกษากับภรรยาของผมไปด้วย นั่นทำไมมันถึงได้ออกมาเหมือนภาพวาด ผมสามารถทำการเคลื่อนย้ายภาพถ่ายได้ด้วยเช่นเดียวกัน จากส่วนด้านหน้าไปตลอดจนถึงทางกลับ ผมสามารถเปลี่ยนแปลงจุดโฟกัสได้ ผมสร้างการเคลื่อนไหวให้เหมือนกับกล้องใกล้จะถอยหลัง ผมทำการปรับเปลี่ยนความเร็ว สามารถทำให้มันเร็วขึ้นหรือช้าลงได้ และผมก็สามารถเปลี่ยนแสงสีได้ หลายสิ่งมากมายกว่าในอดีตที่เทคโนโลยีการแก้ไขมันได้ล้ำหน้าไปไกล และการประมวลผลวีดีโอก็กลายมาเป็นดียิ่งขึ้นและยิ่งขึ้นไป ดังนั้นตอนนี้พวกเราสามารถทำอะไรก็ได้ที่พวกเราต้องการจะทำ พวกเราสามารถลบหรือเพิ่ม ดังนั้นแล้วเมื่อเปรียบเทียบกับในอดีต ภาพยนตร์ที่เป็นรูปแบบของงานศิลปะมันก็ไม่ใช่สิ่งที่พูดเกินจริงเลย ผมเองยังสามารถเปลี่ยนเสียงของนักแสดงได้ด้วย เสียงของนักแสดงหญิงที่อายุ 25 ปีไม่ค่อยจะดีเท่าไร ดังนั้นผมเลยค้นหาเสียงของนักแสดงหญิงที่อายุ 60 ปีและใช่เสียงของเธอมาเป็นรูปแบบพากย์ ผลลัพท์ก็คือความสามารถของเธอเป็นต้นแบบการแสดงได้จริงๆ พวกเรายังสามารถใช้แม้แต่เสียงของผู้ชาย และหลากหลายเสียง ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากจริงๆ เกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์แล้ว ผมรู้สึกว่ามีการเปลี่ยนแปลงในวงการที่เป็นไปได้หลายอย่าง ในตอนนี้ทุกคนก็ต่างใช้เทคนิคต่างๆ special effects แต่ถ้าพวกเราใช้มันในแนวทางที่ผู้ชมไม่สามารถสังเกตเห็นได้ พวกเราได้ทำสำเร็จในสิ่งที่ยิ่งใหญ่แล้ว

Kyo : คุณพูดเกี่ยวกับ การต่อสู้ แล้วคุณจะทำยังไงที่จะดำเนินการแสดงตัวตนในสิ่งที่คุณต้องการจะทำต่อไปครับ หนทางในการแสดงตัวตนของพวกเราไม่มีจำกัดและไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้นผมคิดว่าคุณต้องการจะบอกว่าให้ดำเนินในสิ่งนั้นต่อไปมันเป็นสิ่งที่สำคัญมาก

Alejandro Jodorowsky :  ตลอดชีวิตนี้ ผมจะทำมันจนกว่าผมจะตาย มีสิ่งสวยงามเกี่ยวกับประเพณีของญี่ปุ่น เหมือนกับการบรรยายของ Haiku เหวแห่งความตาย (บทกวีเกี่ยวกับความตาย) ในอดีตผมก็สะสมบทกวีสุดท้ายของผู้คนที่กำลังจะตาย และแนวทางการคิดของซามูไร มันมีประเด็นเกี่ยวกับว่าคุณมีสุขภาพร่างกายที่ดีมากแต่คุณก็สามารถจะตายได้ทุกเวลา เป็นชั่วขณะในชีวิตของพวกเรา แต่มันก็มีความสามารถในการสร้างสรรค์ที่ยิ่งใหญ่ในเวลานั้น พวกเราสามารถหามันได้ในประเพณีของคุณ ที่ประเทศญี่ปุ่น

Kyo : ผมอยู่ใกล้มากเกินไปครับ ผมเลยมองไม่เห็นสิ่งนั้นเลย

Alejandro Jodorowsky : ผมมาญี่ปุ่นกับ Marcel Marceau ศิลปินละครใบ้กันสองคน ก่อนที่คุณจะเกิด ในเวลานั้น ผมไม่รู้อะไรเลยจริงๆเกี่ยวกับญี่ปุ่น ผมรู้เพียงแค่วัฒนธรรมตะวันตก ผมรู้แค่นิดหน่อยเองเกี่ยวกับญี่ปุ่น สิ่งที่ผมได้เรียนรู้ก็มาจากงานเลี้ยงน้ำชาที่ผมได้รับเชิญให้ไปร่วม

Kyo : แต่ในหนังของคุณ Holy Mountain มันก็มีฉากที่ให้ความรู้สึกมีความเป็นญี่ปุ่นอยู่เล็กน้อยนะครับ

Alejandro Jodorowsky : ฉากเปิดเป็นการโชว์ของอาจารย์ชงชาจริงๆ เป็นการยอมรับและเปลี่ยนแปลงศิลปะของผมในช่วงเวลานั้น เมื่อตอนที่ผมไปเกียวโต ผมเดินไปบนถนนเส้นหนึ่งแล้วก็มีชายคนหนึ่งพูดภาษาอังกฤษกับผม "คุณอยากจะมาดื่มน้ำชาหน่อยมั้ย?" เขาถามผม แล้วผมก็ไป ที่นั่นไม่กว้างเกินไป ไม่แคบเกินไป มีเตาผิงอยู่ตรงกลาง ผมดื่มชาและนั่งกับพื้นแบบขัดสมาธิ ที่นั่นมีการตกแต่งภาพแขวน แต่มันก็เป็นอะไรที่ธรรมดาๆ ผมคิดว่านั่นเป็นงานอดิเรกที่สมบูรณ์แบบที่สุดจริงๆ ในตอนนั้นผมพูดว่า "ลายตารางของหน้าต่างไม่เท่ากันเลย" ขนาดของตารางและขนาดช่องก็แตกต่างกันด้วย การจัดวางก็ไม่ดี ทั้งสองด้านก็มีสัดส่วนที่ไม่รับกันเลย ผมเลยพยายามคิดถึงใครสักคน มนุษย์เราจะไม่ทำซ้ำในสิ่งเดิมๆ คนหนึ่งคนและคนอื่นๆไม่มีใครที่เหมือนกัน ผมคิดอย่างนั้นและเริ่มเข้าใจในประเด็นของงานสร้างสรรค์ชิ้นนี้ ผมได้เรียนรู้มากมายหลายอย่างจากประเทศญี่ปุ่น เช่นเดียวกับ origami (ศิลปะในการพับกระดาษของญี่ปุ่น) ผมไม่เคยรู้มากก่อนเลยว่ามีสิ่งเหล่านี้อยู่ในโลกเราด้วย ผมแปลกใจมากจริงๆ แค่พับหนึ่งส่วนของกระดาษก็สามารถสร้างสิ่งที่แตกต่างได้แล้ว แต่ทั้งหมดก็อยู่ในกระดาษแผ่นเดียวกัน ตัวคุณ ตัวผม และคนอื่นๆพับกระดาษในลักษณะที่แตกต่างกันไป ผมคิดว่ามนุษย์ทั่วไปมีรากฐานที่เหมือนกัน แต่วิธีการพับกระดาษของพวกเราแตกต่างกัน ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้มาจากสวรรค์จริงๆ เช่นเดียวกับหลายๆสิ่งที่ผมได้กล่าวไป ทุกสิ่งที่พวกเราสร้างจะหายไปในสักวันหนึ่ง สิ่งที่เป็นนามธรรมของคนจะเป็นสิ่งที่คนอื่นๆต้องการ ยกตัวอย่างเช่น คุณจะสร้างสัตว์ตัวหนึ่งจากกระดาษ แต่คนอื่นๆก็ไม่ได้สร้างสัตว์ตัวเดียวกับคุณ ผมสร้างในสิ่งที่ผมสร้างสรรค์ด้วยตัวของผมเอง ผมไม่ต้องการจะสร้างเหมือนคนอื่นๆ แต่คนอื่นๆกลับผลักคุณให้กลายเป็นในสิ่งที่เขาต้องการอยากให้คุณเป็น เพราะว่าต้นกำเนิดของพวกเราแล้ว พวกเราทั้งหมดเหมือนกัน ถ้ามันกลายเป็นอย่างนั้น พวกเราก็จำเป็นที่จะต้องบอกว่า พวกเราแตกต่างกัน แต่โดยรากฐานแล้วพวกเราทั้งหมดเหมือนกัน ผมได้เรียนรู้ในระหว่างการเดินทางที่ประเทศญี่ปุ่น ผมคิดว่าการรับรู้ของผมได้เปิดแล้วจริงๆในจุดๆนั้น ถึงแม้มันจะเป็นเรื่องเก่าเมื่อ 50 ปีมาแล้วก็ตาม

Kyo : วัฒนธรรมของญี่ปุ่นและบรรยากาศที่แสดงออกมาได้สะท้อนกลับไปในผลงานของคุณ ผมมีความสุขมากจริงๆครับ คุณจะทำอะไรในภาพยนตร์ต่อไปของคุณครับ?

Alejandro Jodorowsky : ชื่อหนังคือ  “Juan Solo”ผมต้องการที่จะดึงความแข็งแกร่งของมนุษย์ออกมา ตัวละครหลักเป็นเด็กที่ถูกพบในถังขยะ เขาจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาจากตรงนั้นได้อย่างไร? นั่นเป็นเค้าโครงของเรื่อง แต่ตอนนี้ก็อยู่ในขั้นตอนการเตรียมการ มันเข้าสู่ขั้นตอนการผลิตแล้ว ผมไม่มีเวลามากเท่าไร ดังนั้นผมเลยอยากจะทำให้มันจบไวๆ (หัวเราะ) นั่นเป็นเหตุผลที่ผมยุ่งมากๆ

Kyo : ผมตั้งตารอคอยจริงๆครับ

Alejandro Jodorowsky : ที่นี่มีหลากหลายรูปแบบของความรัก อันดับแรกคือรักครอบครัว ต่อมาคือรักตัวเอง เช่นเดียวกันคือรักคนอื่นๆด้วย รักทั้งจักรวาล ท้ายที่สุดคือการมอบความรักให้ทุกๆคน และนอกเหนือจากนั้นคือความรักของพระเจ้า ผมเองก็รักที่จะทำงานต่อไปเช่นกัน (ภาพยนตร์,ดนตรี,หนังสือ,ศิลปะ) ผมคิดว่าความรักที่นำไปสู่การทำงานของผมยิ่งใหญ่มาก นั่นทำไมความสุขถึงได้สามารถทำให้คุณทำในสิ่งที่คุณรักได้ เช่นเดียวกับการเริ่มต้นรักในสิ่งที่คุณทำ ถ้าคุณรักในอะไรก็ตามที่คุณทำ นั่นคือความสุขที่แท้จริง ถ้าให้ผมถามตัวเองว่าเมื่อไรที่ผมสามารถรักในสิ่งที่ผมทำ ก็คือเมื่อผมสามารถทำในสิ่งต่างๆเพื่อคนอื่นๆได้ ถ้าสิ่งเหล่านั้นมีประโยชน์ต่อผู้ชมทางใดทางหนึ่ง รวมทั้งความรู้สึกของทุกคนและจิตสำนึกของทุกคนที่ค่อยๆเปิด การทำงานที่เป็นภาพยนตร์ การ์ตูน หนังสือ สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ดีเยี่ยม ผมคิดว่าสิ่งเหล่านั้นสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้



++++++

แปลบทสัมภาษณ์นี้แล้วได้เรียนรู้อะไรเยอะเลย :) ใครเคยดูภาพยนตร์ของคุณ Alejandro บ้าง ขอบอกเลยว่าเราก็พึ่งจะได้ดูตอนที่พี่ Kyo เค้าบอกว่าชอบหนังเรื่อง Holy mountain นี่ล่ะ กับหนังเรื่อง El topo ที่มีใน Youtube ^^ เป็นแนวภาพยนตร์ที่ไม่เหมือนใครเลยจริงๆ และที่ชอบในบทสัมภาษณ์ของคนสองคนนี้คือ พวกเค้าสองคนเหมือนมีอะไรที่เหมือนกันนะ เช่นการคิดที่ไม่เหมือนคนอื่นๆ ความมุ่งมั่นในงานของตัวเอง  ฯลฯ...และที่สำคัญพวกเค้าไม่เคยยอมแพ้ต่ออุปสรรคเลย ถ้าได้ติดตาม DIR หรือรู้จักนักร้องที่ชื่อ Kyo เมื่อครั้งอดีตก็คงจะรู้ว่าพี่ Kyo เองก็ผ่านอะไรมาอย่างโฉกโชนจนประสบความสำเร็จ :) ที่สำคัญคุณผู้กำกับปิดท้ายบทสัมภาษณ์ได้ดีมาก ในเรื่องความรัก...และมีความสุขที่ได้ทำเพื่อคนอื่น ฮาๆ พูดจริงๆเราก็มีความสุขที่ได้แปลบทสัมภาษณ์ให้เพื่อนๆได้อ่านนะ (นั่นไงมันอวยตัวเอง!) จริงๆนะ ^^; ช่วงแรกเราเคยคิดว่า เออจะมีใครสนใจมั้ยในสิ่งที่เราแปล จะอ่านสำนวนการแปลเรารู้เรื่องมั้ย แต่ก็พยายาม กับพยายาม และใช้ความรักในวง DIR EN GREY นำพา ฮิ้วว ไว้เจอกันกับบทสัมภาษณ์หน้านะคะ ^^ หรือถ้าอยากรีเควสบ้างก็ได้ว่าอยากให้เน้นแปลใคร (คือเราก็เลือกแปลนะบางที คืองานรัดตัวอาศัยช่วงวันหยุดอันน้อยนิดนั่งแปล เลยต้องเลือกๆหน่อย ^^ แต่ถ้าอยากรีเควสก็ได้เลยนะ แต่จะได้ป่าวนี่อีกเรื่อง ฮาๆ แล้วจะพูดทำไมฟระ! ) เอาล่ะๆ ไว้เจอกันนะเพื่อนสาวก
Share this article :

แสดงความคิดเห็น

Popular Posts

 
Support : Creating Website | Johny Template | Mas Template
Copyright © 2011. DIR EN GREY THAILAND FAN CLUB - All Rights Reserved
Template Modify by Creating Website
Proudly powered by Blogger